วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

เจ้าหญิงนกกระจาบ


เจ้าหญิงนกกระจาบ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มีนกกระจาบสองผัวเมียพร้อมด้วยลูกเล็กๆ อีก 4 ตัวทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ แม่นกนั้นคอยอยู่ดูแลลูกอ่อน ส่วนพ่อนกมีหน้าที่บินออกไปหาเหยื่อมาเลี้ยงลูกเมีย วันหนึ่งพ่อนกบินหาอาหารออกไปไกลถึงกลางบึงใหญ่ซึ่งมีดอกบัวขึ้นอยู่มากมายทำให้พ่อนกเพลิดเพลินจนลืมเวลา ครั้นถึงตอนเย็นดอกบัวก็หุบกลีบเข้าหากันและได้ขังพ่อนกเอาไว้ข้างใน ไม่ว่าพ่อนกจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้ ฝ่ายแม่นกและลูกๆรออาหารอยู่ด้วยความหิวโหย บังเอิญคืนนั้นเกิดไฟไหม้ป่า แม่นกไม่สามารถช่วยพาลูกๆ หนีภัยได้จึงทิ้งรังไว้จนลูกนกโดนไฟคลอกตายทั้งหมด ส่วนแม่นกนั้นเกาะกิ่งไม้ร้องไห้ด้วยความอาลัยรักลูกๆ ของตน พอถึงเวลาเช้าดอกบัวสยายกลีบพ่อนกก็รีบบินกลับ ครั้นพบแต่รังที่กลายเป็นเถ้าถ่านรู้สึกเสียใจรีบเข้าไปหาแม่นก แต่นางนกกระจาบได้ตัดพ้อต่อว่าหาว่าพ่อนกมัวไปติดพันนางนกอื่นอยู่จึงไม่ยอมกลับรัง แม้พ่อนกจะพยายามอธิบายอย่างไรนางนกกระจาบก็ไม่ยอมฟัง นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากเกิดชาติหน้าฉันใดจะไม่ยอมพูดกับผู้ชายคนไหนอีกเลย แล้วนางนกกระจาบก็บินเข้าสู่กองไฟตายตามลูกๆ ไปพ่อนกเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ อธิษฐานว่าด้วยความสัตย์จริงในสิ่งที่ตนกระทำลงไปโดยมิได้มีเจตนานอกใจนางนกกระจาบ ขอให้ตนเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่นางนกกระจาบซึ่งไปเกิดใหม่ยอมพูดด้วย แล้วพ่อนกก็โผเข้ากองไฟสิ้นใจตามไปอีกตัวหนึ่งนางนกกระจาบได้มาเกิดใหม่เป็นเจ้าหญิงสุวรรณเกษร ราชธิดาของท้าวพรหมทัต และพระมเหสีซึ่งมีนามว่า พระนางโกสุมาแห่งเมืองโกสัมพี (บางตำนานว่ามาเกิดเป็นเจ้าหญิงสุวรรณโสภา ราชธิดาของพระเจ้าอุสภราช และพระนางกุสุมพา กษัตริย์ผู้ครองเมือง ศิริราชนคร) พระธิดาสุวรรณเกสรนั้นเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์สิริโฉมโสภาเกินกว่าหญิงใดในหล้า แต่เมื่อเกิดมาจวบจนถึงวัยครองเรืองนางกลับไม่ยอมเอ่ยปากพูกับผู้ชายคนไหนทั้งสิ้น แม้แต่ผู้เป็นพระบิดาของตนเอง ท้าวพรหมทัตรู้สึกทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก ถึงกับให้มีประกาศไปทั่วทุกแคว้นแดนดินว่า หากชายใดสามารถทำให้พระธิดายอมพูดด้วยก็จะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสุวรรณเกสรทันทีบรรดากษัตริย์รวมทั้งเศรษฐีจากเมืองต่างๆ ได้ส่งพระโอรสและทายาทของตนมาขอทดสอบ แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนเจ้าหญิงสุวรรณเกสรก็ไม่ยอมเอ่ยปากเจรจากับเจ้าชายหรือทายาทหนุ่มของเศรษฐีคนใดเลยแม้แต่เพียงคำเดียว ต่างรู้สึกท้อใจและเดินทางกลับบ้านเมืองของตนไปจนหมดสิ้นกล่าวถึงพ่อนกกระจาบซึ่งได้มาเกิดใหม่เป็น เจ้าชายสรรพสิทธิ์ พระโอรสของ พระเจ้าวิชัยราช กับ พระนางอุบลเทวี แห่งอลิกนคร เมื่อทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระธิดาสุวรรณเกษร ทำให้เจ้าชายสรรพสิทธิ์สนใจนึกอยากจะไปทดสอบดู เพราะเคยไปเรียนวิชา อรภินทวิทยา อันเป็นวิชาเกี่ยวกับการถอดจิต คิดว่าคงจะพอมีวิธีทำให้เจ้าหญิงสุวรรณเกสรพูดกับตนได้ เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทราบว่ามีเจ้าชายจากเมืองใกล้เคียงมาอาสาก็ดีพระทัย สั่งให้ทำการกั้นม่านขึ้นเจ็ดชั้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเจ้าชายจะพูดคุยกับเจ้าหญิงได้เพียงข้างนอก ห้ามรุกล้ำเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด และในห้องใกล้กันนั้นมีวงมโหรีคอยฟังอยู่ หากได้ยินเสียงเจ้าหญิงสุวรรณเกสรเมื่อใดก็จะพากันบรรเลงขึ้นเพื่อเป็นพยานครั้นตกค่ำเจ้าชายสรรพสิทธิ์จึงเข้าไปในที่ซึ่งจัดไว้พร้อมด้วย ชานุ ผู้เป็นพี่เลี้ยงคนสนิทซึ่งไปเรียนวิชาอรภินทวิทยาจากเมืองตักศิลามาด้วยกัน เจ้าชายได้ถอดดวงจิตของชานุไปสถิตไว้ที่ชวาลา (ตะเกียงรูปร่างคล้ายคนโท แต่มีพวยเหมือนกาน้ำซึ่งใช้จุดให้แสงสว่างในสมัยโบราณ) แล้วเจ้าชายได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนกับพระธิดาเป็นเนื้อคู่กันขอให้นางยอมเอ่ยปากเจรจาด้วย จากนั้นเจ้าชายได้เอ่ยปากพูดคุยกับชวาลาชวนให้เล่านิทานให้ฟัง ชวาลาตอบว่าตนไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า หากเจ้าชายมีเรื่องสนุกก็จงเล่ามาเถิดเจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้เล่าเรื่องราวของพ่อค้าเรือ 4 คน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน วันหนึ่งพ่อค้าคนหนึ่งเห็นท่อนจันทน์ลอยมาจึงเก็บนำมาแกะเป็นสตรีที่สวยงามและมีชีวิตขึ้นมา พ่อค้าคนที่สองได้นำเครื่องประดับมาตกแต่งให้ พ่อค้าคนที่สามนำอาสนะมาให้รูปสลักนั้นนั่ง ส่วนพ่อค้าคนที่สี่ได้นั่งสนทนากับรูปแกะสลักนั้น ในตอนท้ายเจ้าชายเอ่ยถามปริศนากับดวงชวาลาว่าเมื่อพ่อค้าทั้ง 4 ต่างก็มีใจรักในรูปแกะสลักนั้น ควรตัดสินให้นางเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร ชวาลาตอบว่าควรเป็นของผู้ที่แกะสลักนางขึ้นมาจากท่อนไม้จันทน์ เจ้าหญิงสุวรรณเกสรซึ่งนิ่งฟังเรื่องราวมาโดยตลอดก็เผลอแย้งขึ้นว่าพ่อค้าผู้แกะสลักควรอยู่ในฐานะบิดา พ่อค้าผู้นำอาสนะมาให้นั่งควรอยู่ในฐานะมารดา พ่อค้าผู้มานั่งสนทนาด้วยควรอยู่ในฐานะพี่ชาย ส่วนพ่อค้าผู้นำเครื่องประดับมาตบแต่งให้นางนั้นเป็นผู้ควรอยู่ในตำแหน่งสามีทันใดนั้นเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้น เจ้าหญิงสุวรรณเกสรทรงนึกด่าเผลอพูดออกไปจึงนิ่งเงียบเหมือนเช่นเดิม เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงจากดวงชวาลาไปไว้ ณ ข้างเตียงบรรทมของเจ้าหญิง แล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องใหม่ว่า มีพระกุมาร 4 องค์จากเมืองต่างๆมาเรียนวิชาในสำนักเดียวกันจนกลายเป็นสหายสนิท และต่างก็มีวิชาดีกันคนละอย่าง วันหนึ่งทั้ง 4 ได้ไปนั่งอยู่ชายฝั่งทะเล คนที่มีวิชาหมอดูบอกกับเพื่อนๆ ว่าประเดี๋ยวจะมีนกอินทรียักษ์โฉบผู้หญิงผ่านมา คนที่เป็นนักแม่นธนูรีบเล็งศรไว้คอยท่าและสามารถยิงสังหารนกอินทรีนั้นได้อย่างแม่นยำ หญิงที่นกนั้นโฉบมาก็ตกลงสู่ทะเล คนที่เก่งทางดำน้ำก็รีบดำลงไปช่วย ครั้นเห็นว่าหญิงนั้นเสียชีวิตไปแล้วคนที่มีวิชาชุบคนตายให้ฟื้นจึงชุบชีวิตของนางขึ้นมา ในตอนท้ายเจ้าชายถามต่อดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงว่า เมื่อพระกุมารทั้ง 4 เกิดการยื้อแย่งกันครอบครอง หญิงผู้นี้ควรเป็นของใครดวงจิตตอบว่าหญิงผู้นี้ควรเป็นของชายคนที่เก่งทางยิงธนูเพราะเป็นผู้ช่วงชิงเธอมาจากนกอินทรียักษ์ เจ้าหญิงสุวรรณเกสรนิ่งฟังอยู่และพิจารณาตามเนื้อเรื่อง เผลอแย้งว่าหญิงนั้นควรเป็นสิทธิของนักประดาน้ำเพราะเขาได้แตะต้องตัวเธอ ครั้นเมื่อได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงขึ้นเจ้าหญิงจึงทรงนึกขึ้นได้ก็นิ่งเงียบอีกครั้ง เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงวิญญาณของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงไปไว้ใกล้พระที่บรรทมของเจ้าหญิงแล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องที่ 3 เกี่ยวกับชายและหญิง 4 คู่ซึ่งได้มาพบปะพูดจาเกี้ยวพาราสีกันเมื่อฝ่ายชายถามฝ่ายหญิงว่าเรือนของเธอนั้นอยู่ที่ไหน หญิงคนแรกใช้นิ้วลูบศีรษะแล้วบอกว่าเรือนของตนอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สองเอามือลูบนมพลางบอกว่าเรือนของฉันอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สามใช้มือลูบแก้มพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน ส่วนหญิงคนที่สี่เอามือลูบคิ้วพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน ครั้นหญิงทั้งสี่กลับไปเรือนของตน ชายทุกคนต่างปรึกษากันแต่ก็ไขปริศนาไม่ออก เผอิญมีโจรคนหนึ่งถูกหลาวเสียบนอนกลิ้งเกลือกอยู่ใกล้กัน ครั้นได้ยินเรื่องราวของชายทั้งสี่จึงไขปริศนาให้โดยโจรบอกว่าให้ชายคนที่หนึ่งเดินไปทางทิศตะวันออกราว 5 อุสุภ (1 อุสุภยาวประมาณหนึ่งเส้นสิบห้าวา) เรือนของหญิงคนรักอยู่ใต้ต้นไทร ให้ชายคนที่สองเดินไปทางทิศตะวันตกราว 8 อุสุภ เรือนของหญิงคนรักอยู่ ใกล้ต้นขนุน ให้ชายคนที่สามเดินไปทางทิศใต้ประมาณกึ่งโยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้เตาของช่างปั้นหม้อ ให้ชายคนที่สี่เดินไปทางทิศเหนือประมาณ 1 โยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้สระสาหร่าย (เป็นเรื่องของคำศัพท์ในภาษาจากต้นฉบับ จึงยากแก่การแปลความหมายให้เข้าใจในปริศนา) เมื่อหญิงทั้งสี่ทราบว่าชายคนรักของตนรู้ปริศนาเพราะโจรช่วยเฉลยจึงพากันขับไล่ และพวกนางต่างไปนำโจรนั้นมารักษา หญิงคนที่หนึ่งนำอาหารมาให้เป็นประจำ หญิงคนที่สองทำหน้าที่อาบน้ำชำระร่างกาย หญิงคนที่สามเอาน้ำร้อนมาให้ หญิงคนที่สี่เอาปัสสาวะอุจจาระไปเททิ้งให้ ต่อมานายโจรผู้นั้นได้หายเป็นปกติ อยากทราบว่าหญิงคนไหนสมควรอยู่ในฐานะภรรยาของนายโจร ดวงจิตตอบว่าควรเป็นหญิงผู้ที่นำปัสสาวะอุจจาระเททิ้งให้ เจ้าหญิงสุวรรณเกษรก็เผลอแย้งว่าควรจะเป็นหญิงที่นำอาหารมาให้เพราะทำหน้าที่เหมือผู้เป็นภรรยา พลันเสียงพิณพาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ 3เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ถอดดวงจิตของชานุย้ายไปไว้ที่พระเขนย (หมอน) ของเจ้าหญิงสุวรรณเกษร แล้วถามปริศนาว่า ระหว่างการสัมผัสนุ่นกับสัมผัสเส้นผมอันละเอียดอ่อนของสตรีรูปงามอันเป็นที่รักยิ่ง ไหนจะนุ่มมือมากกว่ากัน ดวงจิตตอบว่านุ่ม แต่เจ้าหญิงแย้งว่า สามีที่มีจิตอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างต่าหากจึงชื่อว่ามีสัมผัสอ่อนยิ่งกว่านุ่นและสตรี พลันเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ 4 พระเจ้าพรหมทัตจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้กับเจ้าชายสรรพสิทธิ์และเจ้าหญิงสุวรรณเกษรและให้ครองเมืองอลิกนครอย่างมีความสุขนับแต่นั้นมาเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงนกกระจาบนี้ บางตำนานบอกว่าหลังจากพิธีอภิเษกแล้ว วันหนึ่งเจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ออกประพาสป่ากับชานุพระพี่เลี้ยง แล้วทรงถอดดวงจิตไปสิงในร่างกวางที่ตายแล้วและออกวิ่งท่องเที่ยวในป่าอย่างสำราญพระทัย ฝ่ายชานุนั้นมีใจรักในตัวเจ้าหญิงสุวรรณเกษรขณะกำลังดูแลร่างของเจ้าชายสรรพสิทธิ์ก็คิดแผนการอันชั่วร้าย โดยทำการถอดดวงวิญญาณของตนไปเข้าร่างเจ้าชายเพื่อจะสวมรอยแต่ก็ไม่อาจแตะต้องเนื้อตัวของเจ้าหญิงสุวรรณเกสรได้เพราะรู้สึกร้อนดังจับต้องถ่านไฟเจ้าชายสรรพสิทธิ์ในร่างกวางกลับมาห็นร่างของตนหายไป ส่วนร่างของชานนั้นถูกไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านก็เดาเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที แต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจะเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งพบร่างนกแก้วนอนตายอยู่จึงถอดวิญญาณเข้าสิงแล้วบินกลับไปหาพระชายาพร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เจ้าหญิงสุวรรณเกสรจึงแกล้งขอให้ชาณุถอดดวงวิญญาณไปเข้าร่างแพะให้ชม ในเวลานั้นเองเจ้าชายสรรพสิทธิ์ก็รีบถอดดวงวิญญาณมาเข้าร่างของตนตามเดิมแล้วสังหารแพะตัวนั้น เรื่องราวของเจ้าหญิงนกกระจาบก็เป็นอันยุติแต่เพียงเท่านี้